สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดพิธีเปิด “อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร” ในวันที่ 27 มกราคม 2563 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอย่างเป็นทางการ ณ อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ที่แห่งนี้จะเป็น ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการศึกษา ค้นคว้าวิจัย พัฒนาเทคโนโลยีทางดาราศาสตร์ของประเทศ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แหล่งเรียนรู้ดาราศาสตร์ครบวงจรแห่งใหม่ของไทย พร้อมเปิดบริการประชาชน 1 กุมภาพันธ์ 2563 นี้
27 มกราคม 2563 เวลาประมาณ 18.00 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งถึงอุทยานดาราศาสตร์สิรินธร ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประธานกรรมการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และคณะกรรมการจัดงาน เฝ้าฯ รับเสด็จ ภริยารองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และผู้แทนสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ทูลเกล้าฯ ถวายพวงมาลัย
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงพลับพลาพิธี ทรงประทับพระราชอาสน์ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายสูจิบัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กราบบังคมทูลรายงาน และกราบบังคมทูลเบิกผู้แทนคณะกรรมการจัดงานและ ผู้มีอุปการคุณเข้ารับพระราชทานของที่ระลึก จำนวน 21 ราย และเบิกผู้ชนะเลิศการแข่งขันกิจกรรมดาราศาสตร์เข้ารับพระราชทานถ้วยรางวัล จำนวน 7 รางวัล
จากนั้น เสด็จฯ จากพลับพลาพิธี ไปยังแท่นกดปุ่มไฟฟ้า ทรงกดปุ่มเปิดแพรคลุมป้ายชื่อ อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร เสด็จเข้าอาคารท้องฟ้าจำลองและนิทรรศการ ทรงลงพระนามาภิไธยบนแผ่นทองเหลือง ทอดพระเนตรนิทรรศการความก้าวหน้าการดำเนินงาน และผลงานการพัฒนาเทคโนโลยีดาราศาสตร์ขั้นสูงของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และเสด็จฯ ไปในภายท้องฟ้าจำลองระบบดิจิทัลความละเอียดสูง เส้นผ่านศูนย์กลาง 16 เมตร ทอดพระเนตรวีดิทัศน์แนะนำอุทยานดาราศาสตร์สิรินธร การสาธิตการใช้งานท้องฟ้าจำลองและภาพยนตร์ดาราศาสตร์ พร้อมกันนี้ ทรงรับฟังการบรรยายพิเศษเรื่อง “ดาราศาสตร์ : เปิดประตูสู่ภูมิปัญญาสุดขอบเอกภพ” Astronomy - A Useful Frontier Science โดย ศาสตราจารย์ท่านผู้หญิง โจเซลิน เบลล์ เบอร์แนลล์ แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และมหาวิทยาลัยดันดี สหราชอาณาจักร ผู้ได้รับรางวัล Special Breakthrough Prize สาขา ฟิสิกส์พื้นฐาน ในฐานะที่เป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญอย่างยิ่งในการค้นพบพัลซาร์ รวมถึงเป็นผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจต่อวงการวิทยาศาสตร์โลกในช่วงห้าทศวรรษที่ผ่านมา
การบรรยายกล่าวถึงดาราศาสตร์เป็นเรื่องที่น่าค้นหาสำหรับมนุษย์ ครั้งหนึ่งเมื่อผู้บรรยายยังเด็กได้ไป ชมท้องฟ้าจำลองเป็นครั้งแรก เรียนรู้ว่าในเอกภพมีดาวฤกษ์อยู่มากมาย บางดวงอาจมีบริวารเป็นดาวเคราะห์เช่นเดียวกับโลกของเรา หากเราสามารถสังเกตและศึกษาดาวเคราะห์เหล่านั้นได้ ก็จะทราบว่ามีสิ่งชีวิตนอกโลกหรือไม่ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน อาทิ การสร้างกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลาง 30 เมตร การประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล ดาราศาสตร์จึงมีบทบาทขับเคลื่อนเทคโนโลยีชั้นนำของโลก เป็นเครื่องมือพัฒนาทักษะของบุคลากร และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์แก่ประชาชนและเยาวชน
จากนั้น เสด็จฯ จากท้องฟ้าจำลอง ไปยังโซนนิทรรศการ ทอดพระเนตรนิทรรศการกิจกรรมดาราศาสตร์ในโรงเรียน นิทรรศการดาราศาสตร์แบบมีปฏิสัมพันธ์ 19 โซน อาทิ ภารกิจพิชิตดวงจันทร์ การสำรวจระบบสุริยะ เสียงแห่งเอกภพ การเกิดเฟสดวงจันทร์ เครื่องตรวจจับรังสีคอสมิก การเปรียบเทียบน้ำหนักบนดาวเคราะห์ อุกกาบาต ลูกตุ้มเพนดูลัมกับการพิสูจน์การหมุนของโลก เป็นต้น ทรงเยี่ยมชมนิทรรศการหอจดหมายเหตุดาราศาสตร์ ที่รวบรวมเอกสารและบันทึกสารสนเทศด้านดาราศาสตร์ รวมถึงกล้องโทรทรรศน์ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เคยทอดพระเนตรเมื่อปี พ.ศ. 2501 และอุปกรณ์ดาราศาสตร์ของศาสตราจารย์กิตติคุณระวี ภาวิไล ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์หลากหลายชิ้น ทอดพระเนตรนิทรรศการดาวจรัสฟ้า จัดแสดงเป็นโซนภาพถ่ายทางดาราศาสตร์ฝีมือคนไทย และนิทรรศการแสดงผลงานของผู้ชนะเลิศจากกิจกรรมแข่งขันดาราศาสตร์
โอกาสเดียวกันนี้ รองศาสตราจารย์บุญรักษา สุนทรธรรม ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายสื่อการเรียนรู้ดาราศาสตร์สำหรับคนตาบอด ที่ผลิตจากห้องปฏิบัติการพัฒนาเทคโนโลยีดาราศาสตร์ขั้นสูงของสถาบันฯ และ นายมาร์ติน จอร์จ ประธานสมาคมท้องฟ้าจำลองสัมพันธ์นานาชาติ เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายภาพถ่ายดาราศาสตร์แสงใต้
หลังจากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังอาคารดูดาว ทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้าผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก ได้แก่ ดาวศุกร์ เนบิวลาในกลุ่มนายพราน ดาวบีเทลจุส กระจุกดาวลูกไก่ กาแล็กซีแอนโดรเมดา ทรงบันทึกภาพกระจุกดาวลูกไก่ผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กอีกด้วย จากนั้น ทอดพระเนตรการทำงานของกล้องโทรทรรศน์หลัก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7 เมตร ภายในโดมไฟเบอร์กลาสทรงคล้ายเปลือกหอย เปิดออกได้ 180 องศา สังเกตท้องฟ้าได้รอบทิศทาง ได้ทอดพระเนตรวัตถุท้องฟ้าผ่านกล้องโทรทรรศน์ดังกล่าว ได้แก่ ดาวยูเรนัส และเนบิวลาในกลุ่มดาวนายพราน พร้อมกันนี้ ทรงบันทึกภาพกาแล็กซี NGC 891 เป็นการแล็กซีแบบกังหันหรือขดก้นหอย และ เนบิวลาปู เป็นซากการระเบิดของซูเปอร์โนวา ด้วยกล้องโทรทรรศน์ควบคุมระยะไกลอัติโนมัติขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร ตั้งอยู่บริเวณดาดฟ้าอาคารควบคุม หอดูดาวแห่งชาติ ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้น เสด็จประทับรถยนต์พระที่นั่งกลับที่ประทับ เวลาประมาณ 22.00 น.
อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร
“อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร” ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 54 ไร่ บริเวณ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นสำนักงานใหญ่ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสถานที่รองรับการดำเนินงานตามภารกิจหลัก 3 ประการ ได้แก่ การศึกษาค้นคว้าวิจัยดาราศาสตร์ การพัฒนาเทคโนโลยีดาราศาสตร์ และการบริการวิชาการและสื่อสารดาราศาสตร์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานนามว่า “อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร”
ภายใน ประกอบด้วยอาคารและส่วนบริการหลัก ได้แก่
1) อาคารสำนักงานใหญ่ ประกอบด้วย ส่วนงานวิจัยและพัฒนา ห้องปฏิบัติการทัศนศาสตร์ ศูนย์ดาราศาสตร์วิทยุ ศูนย์บริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ ห้องสมุดดาราศาสตร์ ศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติ และส่วนงานสนับสนุนภารกิจหลัก
2) อาคารปฏิบัติการพัฒนาเทคโนโลยีดาราศาสตร์ขั้นสูง ประกอบด้วย ห้องปฏิบัติการเมคาทรอนิกส์ห้องปฏิบัติการการขึ้นรูปชิ้นงานความละเอียดสูง ห้องปฏิบัติการเคลือบกระจก
3) อาคารท้องฟ้าจำลองและนิทรรศการ ประกอบด้วย ส่วนท้องฟ้าจำลองระบบดิจิทัล 360 องศา ความละเอียดสูงสุด 8K ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 17 เมตร ความจุ 160 ที่นั่ง และพื้นที่สำหรับรถผู้พิการ ใหญ่และทันสมัยที่สุดในภาคเหนือ และส่วนนิทรรศการดาราศาสตร์แบบมีปฏิสัมพันธ์ 19 โซน อาทิ การสำรวจระบบสุริยะ เสียงแห่งเอกภพ การเกิดเฟสดวงจันทร์ เครื่องตรวจจับรังสีคอสมิก การเปรียบเทียบน้ำหนักบนดาวเคราะห์ อุกกาบาต ลูกตุ้มเพนดูลัมกับการพิสูจน์การหมุนของโลก ภารกิจพิชิตดวงจันทร์ เป็นต้น
4) อาคารหอดูดาว ติดตั้งกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7 เมตร ด้านข้างเป็นระเบียงดาวมีหลังคาแบบเลื่อนเปิดออกได้ ติดตั้งกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กและขนาดกลาง จำนวน 5 ชุด สำหรับให้บริการดูดาวและถ่ายภาพวัตถุท้องฟ้า เปิดบริการทุกวันเสาร์ 18:00-22:00 น. ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงพฤษภาคม
5) ลานกิจกรรมอเนกประสงค์กลางแจ้ง สำหรับจัดกิจกรรมทางดาราศาสตร์บริการประชาชน
“อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร” จะเป็นศูนย์รวมศิลปวิทยาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์ เป็นแหล่งค้นคว้า ศึกษาวิจัย บ่มเพาะและสร้างนักวิจัยดาราศาสตร์ เป็นศูนย์บริการข้อมูล ฝึกอบรม ถ่ายทอดเทคโนโลยี ดาราศาสตร์ รวมถึงการจัดกิจกรรมทางดาราศาสตร์ต่าง ๆ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิชาการดาราศาสตร์ที่สำคัญ ส่งเสริมภาพลักษณ์ให้จังหวัดเชียงใหม่กลายเป็นเมืองหลวงดาราศาสตร์ของไทยและศูนย์กลางดาราศาสตร์อาเซียน
ในวันที่ 27 มกราคม 2563 สดร. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดอุทยานดาราศาสตร์สิรินธร อย่างเป็นทางการ และพร้อมเปิดบริการประชาชนเต็มรูปแบบ ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป มีกำหนดเวลาการให้บริการ ดังนี้
วัตถุท้องฟ้าที่ทอดพระเนตรผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กและขนาดกลางบนระเบียงดาว (บริเวณหลังคาเลื่อน)
ดาวศุกร์
ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ 2 จากดวงอาทิตย์ เป็นวัตถุที่สว่างที่สุดเป็นอันดับสองรองจากดวงจันทร์ในยามค่ำคืน มีสมญาว่า ‘ฝาแฝดของโลก’ เนื่องจากมีขนาดและมวลใกล้เคียงโลก แต่ดาวศุกร์แตกต่างจากโลกอย่างมาก ทั้งทิศทางการหมุนรอบตัวเองที่สวนทางกับโลก ใช้เวลาหมุนรอบตัวเองนานกว่าเวลาที่ดาวศุกร์ใช้โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบรอบ และบรรยากาศของดาวศุกร์ที่หนาแน่นมากกว่าโลกถึง 90 เท่า แก๊สในบรรยากาศที่ส่วนใหญ่เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เกิดสภาวะเรือนกระจกแบบกู่ไม่กลับ พื้นผิวดาวมีอุณหภูมิสูงถึงประมาณ 460 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อนกว่าดาวพุธที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า
เนบิวลาสว่างในกลุ่มดาวนายพราน (M42)
เนบิวลาใหญ่ในกลุ่มดาวนายพราน (M42 Orion Nebula) เป็นเนบิวลาเปล่งแสง (Emission Nebula) มีแสงสว่างในตัวเอง เกิดจากการเรืองแสงของอะตอมของไฮโดรเจน เนื่องจากได้รับความร้อนจากดาวฤกษ์ภายในเนบิวลา อยู่ห่างจากโลกประมาณ 1,344 ปีแสง ทางใต้ของเข็มขัดโอไรออนในกลุ่มดาวนายพราน มีมวลประมาณ 2,000 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 24 ปีแสง นับเป็นพื้นที่ดาวฤกษ์ก่อตัวขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุดและเป็นหนึ่งในเนบิวลาที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้า มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ดาวบีเทลจุส (Betelgeuse)
บีเทลจุสเป็นดาวยักษ์ใหญ่แดง มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1,000 เท่าของดวงอาทิตย์ อยู่ห่างจากโลก 640 ปีแสง มีอายุประมาณ 10 ล้านกว่าปี เป็นดาวฤกษ์ดวงแรกนอกระบบสุริยะที่วัดขนาดได้สำเร็จ เมื่อปี พ.ศ. 2463 และยังเป็นดาวฤกษ์ดวงแรกที่เราถ่ายภาพชั้นบรรยากาศได้อีกด้วย ปกติมีค่าความสว่างปรากฏ 0.5 แต่ปัจจุบัน มีค่าความสว่างปรากฏลดลงเหลือ 1.506 (การวัดค่าความสว่างวัตถุท้องฟ้าใช้หน่วยแมกนิจูด ค่ายิ่งต่ำยิ่งสว่างมาก) นักดาราศาสตร์คาดว่าดาวกำลังจะระเบิดในไม่ช้านี้
กระจุกดาวลูกไก่ (M45) (เป็นวัตถุท้องฟ้าที่ทรงบันทึกผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กด้วย)
กระจุกดาวลูกไก่ เป็นกระจุกดาวเปิด (Open Cluster) อยู่ในกลุ่มดาววัว (Taurus) หากมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจะเห็นดาวฤกษ์ 7 ดวง รวมกลุ่มกันอยู่ แต่หากสังเกตผ่านกล้องโทรทรรศน์จะพบว่า กระจุกดาวลูกไก่ประกอบด้วยดาวฤกษ์จำนวนหลายร้อยดวง ดึงดูดด้วยแรงโน้มถ่วงของกันและกันและเคลื่อนที่ไปด้วยกัน กระจุกดาวลูกไก่มีขนาดประมาณ 13 ปีแสง มีอายุราว 100 ล้านปี ห่างจากโลกประมาณ 400 ปีแสง เนบิวลาที่พบในกระจุกดาวลูกไก่มีแสงเรืองสีน้ำเงิน เนื่องจากสะท้อนแสงจากดวงดาวที่อยู่ใกล้เคียง จึงจัดเป็นเนบิวลาประเภทสะท้อนแสง (Reflection Nebula)
กาแล็กซีแอนโดรเมดา (M31)
กาแล็กซีแอนโดรเมดาเป็นกาแล็กซีแบบกังหันหรือขดก้นหอย อยู่ใกล้กาแล็กซีทางช้างเผือกของเราที่สุด จึงมักเรียกกันว่า ‘กาแล็กซีเพื่อนบ้าน’ มีลักษณะเป็นรูปก้นหอยคล้ายกาแล็กซีทางช้างเผือกแต่ขนาดใหญ่กว่า อยู่ห่างจากโลกราว 2.5 ล้านปีแสง มีค่าความสว่างปรากฏ 4.4 ถือเป็นวัตถุในแคตตาล็อกของเมสิเยที่สว่างที่สุด มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากการสังเกตการณ์โดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์พบว่า กาแล็กซีแอนโดรเมดามีดาวฤกษ์อยู่ราว 1 ล้านล้านดวง มีจำนวนมากกว่าดาวฤกษ์ในกาแล็กซีของเราเกือบสิบเท่า
วัตถุท้องฟ้าที่ทอดพระเนตรผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาด 0.7 เมตร
1. ดาวยูเรนัส
ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 7 จากดวงอาทิตย์ ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ 84 ปี ค้นพบโดย วิลเลียม เฮฮร์เชล เมื่อปี พ.ศ. 2324 มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในระบบสุริยะ มีองค์ประกอบหลักส่วนใหญ่เป็นไฮโดรเจนกับฮีเลียม ดาวยูเรนัสถือเป็นดาวเคราะห์ที่หนาวเย็นที่สุดในระบบสุริยะ มีอุณหภูมิอยู่ที่ -224 องศาเซลเซียส และแก๊สมีเทนเจือปนในบรรยากาศชั้นบน ดูดกลืนแสงสีแดงและสะท้อนแสงสีน้ำเงิน ดาวยูเรนัสจึงปรากฏสีน้ำเงินอมเขียว แกนหมุนของดาวยูเรนัสเอียงเกือบขนานกับระนาบวงโคจรส่งผลให้ดาวดวงนี้หมุนรอบตัวเองแบบตะแคงข้าง เกิดฤดูกาลยาวนาน โดยซีกเหนือของดาวเป็นฤดูหนาวยาวนาน 42 ปี และซีกใต้ของดาวเป็นฤดูร้อนนาน 42 ปี
2. กระจุกดาวเทรปีเซียม (Trapezium)
กระจุกดาวเทรปีเซียม เป็นกระจุกดาวเปิด อยู่บริเวณใจกลางของเนบิวลาสว่างใหญ่ มีบันทึกการสังเกตการณ์กระจุกดาวแห่งนี้ด้วยกล้องโทรทรรศน์ครั้งแรกในบันทึกของกาลิเลโอ กาลิเลอี นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2160 เพียงแต่กาลิเลโอไม่ได้วาดเนบิวลาสว่างใหญ่ที่อยู่โดยรอบกระจุกดาว ดาวสมาชิกในกระจุกดาวนี้เป็นดาวเกิดใหม่กำเนิดจากกลุ่มฝุ่นแก๊สที่เป็นเนบิวลาสว่างใหญ่ มีดาวฤกษ์ 5 ดวงที่สว่างเด่นบริเวณใจกลาง อยู่ห่างกันเพียง 1.5 ปีแสง
วัตถุท้องฟ้าที่ทรงบันทึกผ่านกล้องโทรทรรศน์ควบคุมระยะไกลอัตโนมัติ
1. กาแล็กซีแบบกังหัน NGC 891
NGC 891 เป็นกาแล็กซีแบบกังหันหรือขดก้นหอยที่หันสัน (หรือระนาบจาน) ของกาแล็กซีเข้าหาโลก จึงปรากฏเป็นรูปร่างเรียวยาว อยู่ห่างออกไป 30 ล้านปีแสง บริเวณกลุ่มดาวแอนโดรเมดา ค้นพบโดยวิลเลียม เฮอร์เชล นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2327 กาแล็กซีแห่งนี้มีความสว่างและมีขนาดใกล้เคียงกับกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา
2. เนบิวลาปู (M1)
เนบิวปูเป็นซากซูเปอร์โนวาและเนบิวลาลมพัลซาร์ในกลุ่มดาววัว อยู่ห่างจากโลกประมาณ 6,500 ปีแสง เนบิวลาแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า “เนบิวลาปู” เนื่องจากเมื่อปี พ.ศ.2383 นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ วิลเลียม พาร์สันส์ เอิร์ลแห่งรอสส์ที่ 3 สังเกตการณ์เนบิวลานี้ผ่านกล้องโทรทรรศน์ และวาดภาพสเก็ตช์ออกมามีรูปร่างคล้ายปู เนบิวลาปูยังเป็นวัตถุทางดาราศาสตร์แรกที่ได้รับการยืนยันจากการระเบิดซูเปอร์โนวา และ ณ ใจกลางเนบิวลาปูเป็นที่อยู่ของพัลซาร์ปู ดาวนิวตรอนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 28-30 กิโลเมตร ปลดปล่อยรังสีตั้งแต่รังสีแกมมาไปจนถึงคลื่นวิทยุด้วยอัตราการหมุน 30.2 รอบต่อวินาที
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.