นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ได้รับมอบหมายจาก นางวิลาวรรณ มังคละธนะกุล เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศ ณ กรุงเวียนนา หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ให้กล่าวถ้อยแถลงในนามประเทศไทย ในระหว่างการประชุมใหญ่สมัยสามัญของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ สมัยที่ 67 (The 67th IAEA General Conference: IAEA GC67) ซึ่งจัดขึ้น ณ สำนักงานใหญ่ของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย
นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ได้กล่าวถ้อยแถลงในนามประเทศไทย โดยสรุปได้ว่า ประเทศไทยขอแสดงความยินดีในโอกาสที่นางวิลาวรรณ มังคละธนะกุล ที่ได้รับการเสนอชื่อจากประเทศสมาชิกให้เป็นประธานในที่ประชุม และขอแสดงความยินดีต่อนายราฟาเอล กรอสซี ที่ท่านได้รับการแต่งตั้งให้กลับเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ของ IAEA เป็นสมัยที่สอง เราขอชื่นชมในความอุตสาหะและความทุ่มเทตลอดมาของท่าน เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ของ IAEA ในการปฏิบัติตามคำสั่งของหน่วยงานด้วยความเป็นมืออาชีพและเป็นกลาง ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดทั่วโลก
ประเทศไทยพร้อมให้ความร่วมมือกับ IAEA และประชาคมโลกเพื่อพัฒนาการทำงานของหน่วยงานด้านการใช้พลังงานนิวเคลียร์อย่างสันติ สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน และสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ทั่วโลก (Global Net Zero) โครงการริเริ่มต่างๆ เช่น การควบคุมโรคจากสัตว์สู่มนุษย์ (ZODIAC) การใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อการควบคุมมลพิษจากขยะพลาสติก (NUTEC Plastic) และการใช้รังสีรักษาในทางการแพทย์ (Rays of Hope) ซึ่งเน้นให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของ IAEA ในการจัดการกับความท้าทายระดับโลก ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปจนถึงการเกิดโรคระบาดใหญ่ รวมถึงความมั่นคงทางอาหาร
ประเทศไทยเน้นย้ำความมุ่งมั่นต่อโครงการความร่วมมือทางวิชาการ (TC programme) ของ IAEA โดยโครงการความร่วมมือทางวิชาการทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญสำหรับประเทศสมาชิกในการเพิ่มขีดความสามารถในการใช้พลังงานนิวเคลียร์อย่างสันติ รวมถึงภายใต้ความตกลงความร่วมมือระดับภูมิภาค ประเทศไทยรู้สึกยินดีที่ได้จัดทำกรอบความร่วมมือทางวิชาการกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (Country Programme Framework: CPF) สำหรับปี 2566 - 2572 กับ IAEA ที่จะลงนามในปลายปีนี้
ประเทศไทยกำลังดำเนินการขั้นตอนสำคัญในการเสริมสร้างความปลอดภัยทางนิวเคลียร์และด้านการกำกับดูแลความปลอดภัย ในการนี้ เรายินดีและหวังว่าจะได้ให้การต้อนรับคณะผู้แทน ของ IAEA รวมถึงภารกิจบริการให้คำปรึกษาด้านความมั่นคงทางนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ (INSServ) ในปี 2567 ภารกิจบริการประเมินผลโครงการป้องกันรังสีจากการปฏิบัติงาน (ORPAS) ในปี 2567 และภารกิจการให้คำปรึกษาด้านการป้องกันทางกายภาพระหว่างประเทศ ภารกิจการบริการ (IPPAS) ในปี 2568 และภารกิจการประเมินกระบวนการกำกับดูแลแบบบูรณาการ (IRRS) และประเทศไทยยินดีกับความสำเร็จของการประชุมทบทวนร่วมของภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความปลอดภัยนิวเคลียร์ (Convention on Nuclear Safety: CNS) ครั้งที่ 8 และครั้งที่ 9 เมื่อเดือนมีนาคมปีนี้
ในฐานะรัฐภาคีของสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Non-Proliferation of Nuclear Weapons Treaty. หรือ NPT) ประเทศไทยตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของ IAEA ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งเพื่อการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์และการลดอาวุธทั่วโลก และความเกื้อกูลกันระหว่าง NPT สนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ (Treaty on the Prohibition of Nuclear Weapons: TPNW) และกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และสำหรับการประชุมรัฐภาคีครั้งที่ 2 ของ TPNW ที่นครนิวยอร์กในปลายปีนี้ ประเทศไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายที่มีร่วมกัน
ด้านบทบาทที่สำคัญของกรอบการทำงานระดับภูมิภาคในการพัฒนาความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ ความมั่นคงความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ และการพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ ซึ่งรวมถึงเครือข่ายการพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์แห่งเอเชียแปซิฟิก (Asia-Pacific Safeguards Network: APSN) และข้อมูลเครือข่ายหน่วยงานกํากับดูแลความปลอดภัยจากพลังงานปรมาณูในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Network of Regulatory Bodies on Atomic Energy: ASEANTOM) เรายินดีต่อการตีพิมพ์พิธีสารอาเซียนเพื่อการเตรียมความพร้อมและการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์หรือรังสี และสนับสนุนการต่ออายุข้อตกลงปฏิบัติการระหว่างอาเซียนกับ IAEA ในปีหน้า
นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ กล่าวในตอนท้ายว่า ประเทศไทยชื่นชมความเป็นมืออาชีพของ IAEA ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างโปร่งใสและเป็นกลาง เราย้ำถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของเราต่อพันธกรณีภายใต้กรอบการทำงานของ IAEA และพร้อมที่จะร่วมมืออย่างสร้างสรรค์กับ IAEA และประเทศสมาชิกเพื่อบรรลุความพยายามร่วมกัน เพื่อให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.