"อว. เผยฉีดวัคซีนของไทย ณ วันที่ 5 สิงหาคม ฉีดวัคซีนแล้ว 18,981,703 โดส และทั่วโลกแล้ว 4,276 ล้านโดส ใน 201 ประเทศ/เขตปกครอง ส่วนอาเซียนฉีดแล้วทุกประเทศ รวมกันกว่า 169.55 ล้านโดส โดยจังหวัดของไทยที่ฉีดมากที่สุด คือ ภูเก็ต โดยฉีดวัคซีนเข็มแรกกว่า 75.5%”
➡️(5 สิงหาคม 2564) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 4,276 ล้านโดส ใน 201 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 42.7 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 348 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 165 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว"
ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 169.55 ล้านโดส โดยสิงคโปร์ฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (73.5% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 71.04 ล้านโดส สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2564 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 18,981,703 โดส โดยฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงมากที่สุดในสัดส่วนกว่า 53.33%
? ในการฉีดวัคซีน จำนวน 4,276 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ
1. ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2564
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 18,981,703 คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 14,783,001 โดส (22.3% ของประชากร)
-เข็มสอง 4,178,702 โดส (6.3% ของประชากร)
2. จำนวนวัคซีนตั้งแต่ 28 ก.พ.- 5 ส.ค. 64 พบว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้ว 18,981,703 โดส (อัตราการฉีดล่าสุดเฉลี่ย 3 วันย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 64 ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 338,625 โดส/วัน ประกอบด้วย
วัคซีน Sinopharm
- เข็มที่ 1 989,285 โดส
- เข็มที่ 2 266,949 โดส
วัคซีน AstraZeneca
- เข็มที่ 1 7,991,619 โดส
- เข็มที่ 2 488,201 โดส
วัคซีน Sinovac
- เข็มที่ 1 5,802,097 โดส
- เข็มที่ 2 3,423,552 โดส
3. การฉีดวัคซีนโควิด-19 แยกตามกลุ่มเป้าหมาย
- บุคลากรการแพทย์/สาธารณสุข เข็มที่1 115.2% เข็มที่2 99.6%
- อสม เข็มที่1 49.5% เข็มที่2 22.3%
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เข็มที่1 24.6% เข็มที่2 1.6%
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เข็มที่1 30% เข็มที่1 5.2%
- เจ้าหน้าที่ด่านหน้า เข็มที่1 47.5% เข็มที่2 28.3%
- ประชาชนทั่วไป เข็มที่1 27.6% เข็มที่2 7.8%
รวม เข็มที่1 29.6% เข็มที่2 8.4%
4. จังหวัดที่ฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แบ่งเป็น 2 ชุดข้อมูล
กรุงเทพฯ และปริมณฑล เข็มที่1 48.6% เข็มที่2 11.3% ประกอบด้วย
- กรุงเทพฯ เข็มที่1 67.8% เข็มที่2 14.7%
- สมุทรสาคร เข็มที่1 29.3% เข็มที่2 13.1%
- นนทบุรี เข็มที่1 32.2% เข็มที่2 10.9%
- สมุทรปราการ เข็มที่1 32.1% เข็มที่2 5.8%
- ปทุมธานี เข็มที่1 25.5% เข็มที่2 5.9%
- นครปฐม เข็มที่1 16.4% เข็มที่2 3.4%
จังหวัดอื่น ๆ 71 จังหวัด เข็มที่1 13.2% เข็มที่2 4.1%
- ภูเก็ต เข็มที่1 75.5% เข็มที่2 59.5%
- ระนอง เข็มที่1 39.6% เข็มที่2 12.4%
- สุราษฎร์ธานี เข็มที่1 20.6% เข็มที่2 8.4%
- เกาะสมุย เข็มที่1 38.5% เข็มที่2 10.4%
- เกาะเต่า เข็มที่1 20.7% เข็มที่2 5.9%
- เกาะพะงัน เข็มที่1 31% เข็มที่2 4%
5. ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 160,750,689 โดส ได้แก่
1. อินโดนีเซีย จำนวน 71,044,502 โดส (17.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
2. มาเลเซีย จำนวน 22,646,561 โดส (45.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, AstraZeneca และ Sinovac
3. ฟิลิปปินส์ จำนวน 22,488,705 โดส (11%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, Pfizer, Sputnik V, Moderna และ AstraZeneca
4. ไทย จำนวน 18,981,703 โดส (22.3%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
5. กัมพูชา จำนวน 12,915,097 โดส (45.6%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, AstraZeneca และ Sinovac
6. สิงคโปร์ จำนวน 7,891,408 โดส (73.5%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Moderna และ Sinovac
7. เวียดนาม จำนวน 7,553,318 โดส (6.9%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
8. พม่า จำนวน 3,500,000 โดส (N/A* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
9. ลาว จำนวน 2,376,172 โดส (17.3%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, Sputnik V และ AstraZeneca
10. บรูไน จำนวน 177,638 โดส (32.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
* คำนวณจากจำนวนฉีด/จำนวนประชากร/2 เหมือนกันทุกประเทศ
6. จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
1. เอเชียและตะวันออกกลาง 65.85%
2. อเมริกาเหนือ 11.76%
3. ยุโรป 14.04%
4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 6.36%
5. แอฟริกา 1.62%
6. โอเชียเนีย 0.37%
7. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 4 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 70% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
1. จีน จำนวน 1,708.36 ล้านโดส (61% ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)
2. อินเดีย จำนวน 488.94 ล้านโดส (17.9%)
3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 348.1 ล้านโดส (54.4%)
4. บราซิล จำนวน 145.56 ล้านโดส (35.6%)
8. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
1. มัลดีฟส์ (80.6% ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinopharm)
2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (78.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
3. บาห์เรน (78.7%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
4. สิงคโปร์ (69.1%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Sinovac)
5. กาตาร์ (69%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
5. อุรุกวัย (68.7%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
7. ชิลี (67.2%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, CanSino, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
8. แคนาดา (66.4%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
9. เดนมาร์ก (64.9%) (ฉีดวัคซีนของ Moderna, Pfizer/BioNTech และ J&J)
10. ภูฏาน (64.7%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
แหล่งข้อมูล Bloomberg Vaccine Tracker, กระทรวงสาธารณสุข
ประมวลข้อมูลโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ที่มาข้อมูล : สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
เผยแพร่โดย : นางสาวสุวดี เหมือนอ้น
กลุ่มสื่อสารองค์กร กองกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3880 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Twitter : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.