(24 ธันวาคม 2563) ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในการจัดงานแถลงข่าวสรุปผลงานเด่น ปี 2563 และแผนยุทธศาสตร์ปี 2564 พร้อมเป็นประธานในพิธีมอบรางวัล 11 ผลงานวิจัยและนวัตกรรมเด่นตอบรับชีวิตวิถีใหม่และการปรับตัวอันเนื่องมาจากภาวะวิกฤติโควิด-19
ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ได้มีการเดินหน้าในการขับเคลื่อนกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เมื่อเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี ได้เร่งดำเนินการตามนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่เรียกว่า Quick Wins จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่
1. โครงการเพิ่มทักษะ (Reskill/Upskill) ให้บัณฑิตจบใหม่และผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดงาน ในทักษะด้านดิจิทัลและเรียนรู้ในสถานที่ทำงานจริง
2. Thailand Hackathon
3. Thailand Foresight Consortium
4. กระทรวง อว.นำพลังปัญญาเพื่อพัฒนาชาติ 1 สถาบันอุดมศึกษา 1 พื้นที่
5. เปลี่ยนคนเกษียณเป็นพลัง
โดยมุ่งเน้นในการขับเคลื่อนผ่านโครงการ 3 เรื่องสำคัญพร้อมกัน คือ “มหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างรากแก้วให้ประเทศ”, “การจัดตั้ง อว. ส่วนหน้า” รวมทั้ง “การขับเคลื่อนวิจัย วิชาการ และนวัตกรรม เพื่อใช้ประโยชน์จากสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์ หรือธัชชา” ทั้งสามเรื่องนี้เป็นสามแกนหลักของกลไกการขับเคลื่อนให้โครงการ Quick Wins เกิดผลดังต่อไปนี้ โดยการขับเคลื่อน “มหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างรากแก้วให้ประเทศ” โดย อว. ทำงานเพื่อชุมชนโดยตรงและให้นิสิต นักศึกษากว่า 60,000 คนที่เข้าร่วมในโครงการได้รับการฝีกอบรม ติดอาวุธทักษะด้านดิจิทัล ได้ใช้ความรู้ที่ได้รับกับสนามการทำงานจริง ผ่านการลงพื้นที่เก็บข้อมูลในชุมชนจัดทำเป็นBig Data มาทำการวิเคราะห์และกำหนดรูปแบบการแก้ปัญหาในแต่ละชุมชน เพื่อช่วยในกิจกรรมพัฒนาต่างๆ ของแต่ละตำบล พร้อมขับเคลื่อนโครงการ“มหาวิทยาลัยสู่ตำบล” ร่วมกับ “อว. ส่วนหน้า” เป็นกลไกสำคัญในการทำให้ “อว. เป็นกระทรวงแห่งการพัฒนาประเทศโดยใช้ความรู้ สร้างความหวังให้ประเทศ” เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนในพื้นที่ด้วย 3,000 ทีมของโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล จำนวน 3,000 ตำบล ใช้เป็นกลไกรับรู้ปัญหาของชุมชน มีแนวทางขับเคลื่อนโครงการโดยจัดให้ 3,000 ทีมได้ลงพื้นที่ รับทราบและวิเคราะห์ปัญหา และจัดให้มีการนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาเป็นระยะ
สำหรับกลไก “การขับเคลื่อนวิจัย วิชาการ และนวัตกรรม เพื่อใช้ประโยชน์จากสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์ หรือธัชชา” จะมุ่งเน้นในการจับสัญญาณแห่งอนาคตและมองไปในอนาคต (Futures Literacy) การทำให้ประเทศไทยเป็นเครือข่าย “การมองอนาคต” (Foresight Consortium) เป็นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการเชื่อมโยงประเทศไทยเข้ากับภูมิภาคและโลก มีการติดตามผลการศึกษาวิเคราะห์ภาพ “ประเทศไทยในอนาคต (Future Thailand)” ซึ่งเป็นการทำฉากทัศน์และภาพของประเทศไทยทุกช่วง 5 ปี และในอีก 20 ปีข้างหน้า มุ่งเน้นใน 10 มิติสำคัญ คือ
1) ประชากรและโครงสร้างสังคม
2) สังคม ชนบท ท้องถิ่น
3) การศึกษา
4) สิ่งแวดล้อมและพลังงาน
5) เศรษฐกิจ ผู้ประกอบการและอุตสาหกรรม
6) เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก เกษตรกรรมและการบริการ
7) วัฒนธรรมและภาษาไทย (อัตลักษณ์ความเป็นไทย)
8) การเมือง
9) บริบทโลก ปัจจัยคุกคามและความมั่นคงของประเทศ และ
10) คนและความเป็นเมือง
โดยมิติต่างๆ จะมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โครงการนี้ยังจะเป็นการสร้างเครือข่ายการวิจัยและนักวิจัยชั้นนำผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขาเข้ามาร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อนงานวิจัยชิ้นสำคัญนี้ พร้อมจัดตั้งวิทยสถานด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย หรือ TASSHA (Thailand Academy of Social Sciences, Humanities and Arts) ขึ้น เรียกย่อๆ ว่า “ธัชชา” ประกอบด้วยศูนย์ต่างๆ ในระยะแรกจำนวน 5 ด้าน เพื่อบูรณาการองค์ความรู้แบบสหวิทยาการซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ซึ่งจะนำมาสู่การแก้ปัญหาแบบองค์รวม การสร้างเทคนิค องค์ความรู้ การพัฒนางานวิจัยใหม่ๆที่เชื่อมโยงสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันและอนาคต
ส่วนโครงการ “เปลี่ยนคนเกษียณเป็นพลัง” ขณะนี้ได้มีการขยายผลเพื่อสร้าง Care Giver ดูแลผู้สูงอายุโดยภาคประชาสังคม โดยใช้แนวคิดทฤษฎี “หลั่นล้าอีโคโนมี” สร้างเศรษฐกิจชาติด้วยเศรษฐกิจฐานรากวัฒนธรรม พร้อมกับการสร้างวิชาชีพ ให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเอง พึ่งพากันเองและพึ่งพาซึ่งกันและกัน สร้างอาชีพเกี่ยวกับการบริการผู้สูงอายุ ที่เป็นอาชีพหลักในอนาคตได้ เกิด “นักบริบาลผู้สูงอายุแม่มอกหลั่นล้าอีโคโนมี” ให้กับหญิงชาวนาที่ไม่ใช่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ให้บริการดูแลผู้สูงอายุรายชั่วโมงในโรงพยาบาลของรัฐ ให้บริการดูแล ผู้สูงอายุที่บ้านแบบรายวัน รายเดือน ผ่านการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ สร้างรายได้ หลังการฝึกอบรมมากกว่า 15,000 บาทต่อคนต่อเดือน ซึ่งถือเป็นแบบอย่างของการดำเนินกิจการ “ธุรกิจเพื่อสังคม”(Social Enterprise) ที่สามารถสร้างรายได้ ควบคู่กับการสร้างคุณค่าในตัวเอง
ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า จากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา จนถึงการระบาดระลอกใหม่ของประเทศไทย กระทรวง อว. ได้ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมต้านโควิด-19 โดยล่าสุดได้มีการสั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัด อว. ติดตามสถานการณ์และดำเนินการเชิงรุก พร้อมสั่งการให้โรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยในสังกัด อว. ทุกแห่งเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์มาตั้งแต่การระบาดช่วงที่แล้วและต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ทั้งในส่วนของบุคลากร เจ้าหน้าที่ แพทย์และพยาบาล อุปกรณ์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ พร้อมปฏิบัติหน้าที่รองรับผู้ป่วยอย่างเต็มกำลังความสามารถ
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโรงพยาบาลของ อว. มีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ติดเชื้อทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ สนับสนุนการวิจัยด้านยา ชุดตรวจและวัคซีนรวมทั้งยังได้สนับสนุนข้อมูลทางวิชาการ งานวิจัยและนวัตกรรม ให้กับศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์ และการวิจัยและพัฒนา ของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) โดยมีสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งเป็นตัวแทนของกระทรวงฯ ในการเข้าร่วมให้ข้อมูล”
อย่างไรก็ดี จากปัญหาวิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หน่วยงานในสังกัด อว. ได้ทำงานกันอย่างแข็งขันมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะวิกฤติขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ และลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ กระทรวง อว. จึงได้คัดเลือกผลงานเด่นประจำปี 2563 มาจัดแสดงนิทรรศการและมอบรางวัล “ผลงานวิจัยและนวัตกรรมเด่นตอบรับชีวิตวิถีใหม่(New Normal) และการปรับตัวอันเนื่องมาจากภาวะวิกฤติโควิด-19” เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้บุคลากรในสังกัด ที่ร่วมระดมสมองในการสร้างสรรค์นวัตกรรมตลอดปีที่ผ่านมา โดยแบ่งออกเป็น 2 หมวด 11 นวัตกรรม ได้แก่ หมวดนวัตกรรมสู้วิกฤติโควิด-19 และหมวดนวัตกรรมตอบรับวิถีชีวิตใหม่ ยกตัวอย่างเช่น วัคซีนป้องกันโรคจากไวรัสโควิด-19 โดย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท ซียูเอ็นเทอร์ไพรส์ จำกัด ก่อตั้งขึ้นโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตามนโยบายของ อว. ซึ่งได้พัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 จากใบพืชได้สำเร็จแล้วในระดับห้องปฏิบัติการ และพร้อมก้าวไปอีกขั้นในการผลิตวัคซีนได้เองตั้งแต่ต้นน้ำลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ในโครงการ “วัคซีนเพื่อคนไทย”
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ป้องกันการติดเชื้อสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ โดยกรมวิทยาศาสตร์บริการ : นวัตกรรมชุด PPE Disposable Coverall Level 4 รุ่นเราชนะ สำหรับปฎิบัติงานในสภาวะที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส นวัตกรรมชุด PPE (Isolation Grown) รุ่นเราสู้ สำหรับปฏิบัติงานในสภาวะเสี่ยงน้อยถึงปานกลางหรือการทำหัตถการที่มีเลือดกระเด็นใส่น้อย ชนิดใช้ซ้ำได้ครั้งแรกของโลกที่สามารถซักและใช้ซ้ำได้ไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง โดยนวัตกรรมทั้งหมดเป็นผลิตด้วยการรีไซเคิลจากขวด PET โครงการวิจัยชุดนวัตกรรมทางการแพทย์เพื่อการป้องกัน ตรวจวินิจฉัยและบำบัดรักษาการติดเชื้อโควิด-19 โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) : ได้แก่ หน้ากากอนามัย WIN-Masks ที่ทำจากผ้าเคลือบสารนาโนป้องกันไวรัส สามารถซักได้ 30 ครั้ง ซึ่งได้ผลิตและแจกจ่ายให้กับบุคลากรทางการแพทย์กว่า 2 แสนชิ้นทั่วประเทศ นวัตกรรม AI อัจฉริยะ สำหรับการวินิจฉัย วิเคราะห์ภาพเอ็กซ์เรย์ทรวงอกในการตรวจคัดกรอง โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นต้น
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.