อว. เปิดโรงงานต้นแบบการผลิตสารให้กลิ่นรส ผลักดันอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ พร้อมชูศักยภาพคนไทย สร้างโอกาสสู่ประเทศพัฒนาแล้ว  

        เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ลงพื้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดโรงงานต้นแบบและการจัดแสดงผลงานวิจัยด้านสารให้กลิ่นรส สนับสนุนโดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ที่สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ

          ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า บพข. ใช้เวลากว่า 3 ปี ในการจัดตั้งโรงงานนี้ขึ้นมา เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมอาหารของประเทศโดยใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นโรงงานที่ใช้ทดสอบการขยายสเกลการสกัดสารให้กลิ่นรสจากระดับห้องปฏิบัติการสู่ระดับโรงงานต้นแบบ ลดการลงทุนของภาคเอกชนในด้านการทดสอบการขยายสเกลการผลิตสารสกัดให้กลิ่นรส สอดคล้องกับการทำงานของกระทรวง อว. ในเวลานี้ที่มุ่งเน้นการทำงานแบบรวดเร็ว ยิ่งเร็วมากเราก็มีโอกาสก้าวหน้ากว่าคนอื่น เมื่อก่อนไทยไม่สามารถผลิตวัตถุปรุงแต่งกลิ่นรส (Flavoring agent) เองได้ แต่ขณะนี้ทำได้แล้ว การเริ่มทำหลังคนอื่นไม่ได้แปลว่าเราจะแพ้ ไม่ทันเขา แต่ต้องคิดว่าเราสามารถทำได้ แค่ต้องเปลี่ยนแปลงแล้วขยับให้เร็วขึ้นหรือเร็วกว่าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถก็สามารถแซงเขาได้

         รมว.อว.กล่าวต่อว่า เมื่อก่อนเราทำงานวิจัยที่เน้นทางด้านวิชาการ มุ่งทำจากด้านอุปทาน (Supply side) หรือคิดแต่ว่าตนเองอยากจะทำอะไร แต่ปัจจุบันเราต้องเปลี่ยนไปทำจากด้านอุปสงค์ (Demand side) หรือดูจากความต้องการของสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจ ธุรกิจจะเป็นตัวบอกว่าเราเองว่าต้องทำอะไร หลายธุรกิจในไทยก็เป็นธุรกิจระดับโลก มีการพัฒนานวัตกรรมมาตลอด เวลานี้เราจึงต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ในการทำงาน และต้องช่วยทั้งธุรกิจใหญ่ กลาง เล็ก ไม่เกี่ยงว่าเป็นธุรกิจขนาดใด นอกจากนี้ ต้องสร้างมิตรโดยการไปร่วมมือกับชาติที่ถนัดและเก่งในด้านนี้ เพื่อสร้างพันธมิตรที่มีผลประโยชน์ระหว่างกัน

         “ไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 24 ของโลก และโตขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางความวุ่นวายและปั่นป่วน ท่ามกลางความขัดแย้งที่ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่คิดว่ามีแต่ปัญหา นอกจากนั้น ไทยยังเป็นศูนย์กลางของอาเซียน สามารถดึงต่างประเทศมาร่วมได้ เพราะอาเซียนมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 4 ของโลก สามารถร่วมกับจีนที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก และญี่ปุ่นที่มีขนาดเศรษฐกิจอับดับ 3 ของโลก หรือร่วมกับอินเดีย ที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 6 ของโลก ถือว่าเป็นจุดเด่น จุดแข็ง ของการสร้างพลังความร่วมมือในระดับทวีปเอเชีย โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาขับเคลื่อน” ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าว