สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เปิดเผยผลวิจัยจากจีน ผู้ป่วยโควิด-19 เป็นซ้ำเพราะเชื้อไวรัสยังไม่ได้หายไปไหน เป็นซ้ำหลุดรอด เกิดจากผลลบปลอม “False - Negative”จากหลายปัจจัย แนะโรงพยาบาลเพิ่มมาตรการ ตรวจเชื้อ 2 ครั้ง ภายในระยะห่าง 48 ชั่วโมง แทนระยะห่าง 24 ชั่วโมง ด้วยวิธีการที่ต่างออกไป และคนไข้กักควรตัวเพิ่มหลังออกจากโรงพยาบาล 14 วัน
ดร.เยาวลักษณ์ มะปราง รสหอม จากคณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี นักวิจัยโครงการ “สนับสนุนข้อมูลวิจัยเชิงลึกด้านเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เผยว่า หลังจากที่มีรายงานข่าวเรื่องตรวจพบเชื้อโควิด-19 ซ้ำในผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วทั้งในจีน เกาหลี และไทย ทำให้สังคมเกิดข้อสงสัยว่าการติดเชื้อใหม่เป็นครั้งที่ 2 เกิดจากสาเหตุใด
ทั้งนี้ได้ศึกษาผลวิจัยจากจีน 3 กรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวพบว่า การศึกษาชิ้นที่ 1 ทำการเก็บข้อมูลผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 172 คนที่ถูกปล่อยตัวกลับบ้านหลังจากรักษาจนอาการดีขึ้น ซึ่งก่อนปล่อยตัวกลับบ้าน คนไข้กลุ่มนี้มีผลซีทีสแกนปอดดีขึ้น และทำการตรวจด้วยวิธี RT-PCR หรือ การตรวจแม่นยำระดับสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส ไม่พบไวรัส 2 ครั้ง ในระยะเวลาตรวจห่างกัน 24 ชั่วโมง ต่อมาในช่วงกักตัวต่อที่บ้านมีการเก็บตัวอย่างจากทั้งช่องทวารหนัก และคอหอยหลังโพรงจมูกไปตรวจด้วยวิธี RT-PCR ทุกๆ 3 วัน พบไวรัสจากตัวอย่างที่เก็บจากช่องทวาร 14 คน และจากคอหอยหลังโพรงจมูก 11 คน รวม 25 คน จาก 172 คน หรือพบผู้ป่วย 14.5 % เป็นโรคโควิด-19 ซ้ำ จากประวัติการรักษา ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีระยะเวลาอยู่ในโรงพยาบาลเฉลี่ย 12 - 18 วัน ได้รับยาต้านไวรัส 10 - 16 วัน (ไม่แตกต่างกับผู้ป่วยอื่นๆ) และออกจากโรงพยาบาลเฉลี่ย 1 - 4 วัน หลังมีผลตรวจเชื้อเป็นลบ ส่วนระยะเวลาที่ตรวจพบเชื้อนับจากวันออกจากโรงพยาบาลเฉลี่ย 1 - 10 วัน อาการของผู้ป่วยกลุ่มนี้ตอนติดเชื้อเริ่มแรกคือ มีไข้ (68%) และไอ (60%) โดยมี 24 คนที่จัดอยู่ในกลุ่มอาการที่ไม่รุนแรง
โดยระหว่างการรักษารอบที่ 2 คนไข้กลุ่มนี้ได้รับยาสมุนไพรจีนสูตรทำความสะอาดปอด (ภายใต้การยินยอมของผู้ป่วย) ผลการตรวจเชื้อพบว่า เฉลี่ยภายใน 2.73 วัน หลังเข้าโรงพยาบาลรอบที่ 2 ผลตรวจไวรัสกลับไปเป็นลบอีกครั้ง จากการศึกษา ทีมวิจัยนี้จึงได้เสนอแนะว่า ก่อนให้ผู้ป่วยกลับบ้านควรทำการตรวจเชื้อ 2 ครั้ง ภายในระยะห่าง 48 ชั่วโมง แทนระยะห่าง 24 ชั่วโมง และควรทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นเพิ่มเติม เพื่อยืนยันว่าผู้ป่วยหายดีแล้วจริงๆ
ส่วนการศึกษาที่ 2 ได้เก็บข้อมูลของผู้ป่วย 1 คน เป็นผู้ชายอายุ 54 ปี ที่รักษาโดยการให้ออกซิเจน ฮอร์โมน และยา หลังจากผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นและตรวจไม่พบเชื้อไวรัสจากตัวอย่างที่เก็บจากบริเวณคอ 2 ครั้งติดต่อกัน (ห่างกัน 24 ชั่วโมง) ผู้ป่วยถูกย้ายไปยังหน่วยกักกันเพื่อสังเกตอาการต่อ แต่หลังจากนั้นอีก 5 วันก็ตรวจพบไวรัสอีกครั้งในทวารหนักและตัวอย่างเสมหะ และมีผลตรวจเป็นบวกไปเรื่อยๆ อีก 16 วัน
สำหรับการศึกษาที่ 3 ได้วิเคราะห์ผู้ป่วยหญิงอายุ 46 ปี ที่มีไข้ ปอดอักเสบ และได้รับการรักษาด้วยยาต้านจุลชีพ ผลตรวจเชื้อจากตัวอย่างที่เก็บจากบริเวณคอหอยเป็นลบ 2 ครั้งติดต่อกัน (การตรวจแต่ละครั้งห่างกัน 48 ชั่วโมง) แต่ 3 วันต่อมาผลตรวจกลับเป็นบวกอีกครั้ง และหลังจากนั้นผลตรวจก็กลับไปเป็นลบต่อเนื่อง
ทั้งนี้นักวิจัยจากทั้ง 2 การศึกษาให้ความเห็นตรงกันว่า ผลตรวจที่เป็นลบก่อนหน้าที่จะกลับมาเป็นบวก น่าจะเป็น ผลลบปลอม “False - Negative” หมายถึงตรวจพบไม่เจอเชื้อแต่จริงๆ แล้วมีเชื้อ ซึ่งเกิดจากสาเหตุดังนี้ 1.ตำแหน่งและประเภทตัวอย่างที่เก็บ 2.วิธีการในการเก็บตัวอย่าง 3. ผลจากยาต้านไวรัสหรือฮอร์โมน กรณีผู้ป่วยทานยารักษาโรคอื่นๆ พร้อมกับรักษาอาการโควิด-19 4. ความไวของชุดตรวจผลการศึกษาทั้ง 2 เคส นำไปสู่คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ควรมีการตรวจในตัวอย่างอื่นด้วยเช่นเสมหะ อุจจาระ เลือด เพราะไวรัสชนิดนี้ติดเชื้อเพิ่มจำนวนได้ดีในเซลล์ปอด แต่การเก็บตัวอย่างที่บริเวณคอหรือหลังโพรงจมูกอาจจะได้ไวรัสน้อยและเกิด ผลลัพธ์เทียมได้ รวมทั้งควรตรวจด้วยวิธีการอื่น เช่นตรวจวัดแอนติบอดี ก่อนที่จะปล่อยตัวผู้ป่วยกลับบ้าน และแนะนำว่าผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาลควรกักตัวเองที่บ้านต่ออีก 14 วัน
ดร.เยาวลักษณ์ กล่าวสรุปข้อมูลงานวิจัยว่า การศึกษาทั้ง 3 เคสนี้ ค่อนข้างชี้ชัดไปในทางเดียวกันว่าการตรวจพบเชื้อซ้ำในผู้ป่วยที่รักษาหายดีแล้ว น่าจะเกิดจากผลลบเทียม (False - Negative) ของการตรวจก่อนหน้านี้จากปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าจริงๆแล้ว ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังมีไวรัสอยู่ในร่างกาย ซึ่งถ้าปล่อยกลับบ้านโดยไม่ตรวจสอบให้ดีอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อได้ ซึ่งประเทศไทยเองก็อาจต้องพิจารณาปรับวิธีการและเกณฑ์การประเมินผู้ป่วยตามข้อมูลใหม่ๆ ที่ออกมา ก่อนที่จะปล่อยผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลเพื่อป้องกันการป่วยซ้ำและการแพร่กระจายของเชื้อไปสู่ผู้อื่น
ข้อมูลอ้างอิง
1. Yuan J, Kou S, Liang Y, Zeng J, Pan Y, Liu L. PCR Assays Turned Positive in 25 Discharged COVID-19 Patients [published online ahead of print, 2020 Apr 8]. Clin Infect Dis. 2020;ciaa398. doi:10.1093/cid/ciaa398
2. Zhang JF, Yan K, Ye HH, Lin J, Zheng JJ, Cai T. SARS-CoV-2 turned positive in a discharged patient with COVID-19 arouses concern regarding the present standard for discharge [published online ahead of print, 2020 Mar 18]. Int J Infect Dis. 2020;S1201-9712(20)30126-0. doi:10.1016/j.ijid.2020.03.007
3. Chen D, Xu W, Lei Z, et al. Recurrence of positive SARS-CoV-2 RNA in COVID-19: A case report [published online ahead of print, 2020 Mar 5]. Int J Infect Dis. 2020;93:297–299. doi:10.1016/j.ijid.2020.03.003
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.