วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร ชั้น 3 อาคารอุดมศึกษา 1 สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ถนนศรีอยุธยา ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เอสซีจี มูลนิธิบัวหลวง และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จัดแถลงความสำเร็จ “ร่วมมือ ร้อยใจ รอดภัยแล้ง” โครงการแก้ปัญหาภัยแล้งที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมมือกันสนับสนุนให้ชุมชนลุกขึ้นแก้ปัญหาภัยแล้งด้วยตนเอง โดยน้อมนำแนวพระราชดำริมาเป็นแนวทางบริหารจัดการน้ำของชุมชน จนสามารถรอดพ้นภัยแล้งในปี 2563 ซึ่งรุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปีได้
ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ภัยแล้งถือเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนในปี 2563 ซึ่งจะต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหลายๆ หน่วยงาน เพื่อให้การแก้ปัญหาเรื่องการบริหารจัดการน้ำเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ผลสำเร็จของงาน “ร่วมมือ ร้อยใจ รอดภัยแล้ง” นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการบูรณาการในการทำงานระหว่างหน่วยงานราชการ กับภาคเอกชน เชื่อมโยงไปสู่ประชาชน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยใช้ “ชุมชน และ พื้นที่” เป็นศูนย์กลาง ถือเป็นการสร้างความมั่นคงตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง และเห็นเป็นรูปธรรมผ่านความร่วมมือของทุกภาคส่วนดังกล่าว
“สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ประกอบกับภัยแล้งและปัญหาเศรษฐกิจ ถือเป็นวิกฤตเชิงซ้อนที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญ ผมได้สั่งการให้หน่วยงานในกระทรวง อว. เร่งดำเนินการช่วยเหลือประชาชนตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน สำหรับ สสน. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการน้ำ ผมได้มอบหมายให้จัดทำโครงการส่งเสริมบริหารจัดการน้ำ เพิ่มความมั่นคงเศรษฐกิจของชุมชน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจัดการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาและเพิ่มทักษะ สร้างงาน สร้างอาชีพ โดยใช้แนวทางจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามแนวพระราชดำริ ที่ สสน. ได้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ท้องถิ่น และชุมชน มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายผลการจัดการทรัพยากรน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 400 ชุมชน โดยจะดำเนินงานร่วมกับมหาวิทยาลัย กองทัพภาคที่ 2 และหน่วยงานท้องถิ่น ในการแก้ไขปัญหาน้ำเชิงพื้นที่ เพื่อให้ชุมชนมีแหล่งน้ำ เกิดความมั่นคงด้านอาหาร ผลผลิต เหลือขายเป็นรายได้ นำไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ยั่งยืนในระดับท้องถิ่น และยังสร้างอาชีพให้บัณฑิต
จบใหม่ สามารถขยายผล ตัวอย่างความสำเร็จในการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการบริหารจัดการน้ำชุมชนด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถให้ชุมชน นำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่นและชุมชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” ดร.สุวิทย์ กล่าว
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานกรรมการกิตติมศักดิ์สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ เปิดเผยว่า สภาพฝนปัจจุบันที่เปลี่ยนไปจากในอดีตมาก ทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดน้ำท่วมและขาดแคลนน้ำเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะปีนี้ ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาภัยแล้งรุนแรงมากที่สุดในรอบหลายสิบปี หน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน จึงได้ร่วมมือกันสนับสนุนให้ชุมชนลุกขึ้นแก้ปัญหาภัยแล้งด้วยตนเอง โดยน้อมนำแนวพระราชดำริและหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการน้ำของชุมชน เริ่มจากความเข้าใจสภาพพื้นที่ ปริมาณน้ำที่มี น้ำที่ต้องการใช้เพื่อปรับตัวให้เข้ากับปริมาณน้ำอย่างสมดุล และต้องเข้าถึงความรู้ในการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งมีทีมงานของมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ และ สสน. ร่วมค้นหาชุมชนที่มีศักยภาพ เป็นพี่เลี้ยงให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำและการใช้เทคโนโลยีมาช่วยวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ และยังร่วมกับเอสซีจี มูลนิธิบัวหลวงและธนาคารกรุงเทพ สนับสนุนการพัฒนาและฟื้นฟูแหล่งน้ำ ช่วยให้ชุมชนแก้ภัยแล้งได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน
“ในวันนี้มีหลายชุมชนที่เป็นตัวอย่างการจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริ และเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จจากการน้อมนำหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทำให้ชุมชนลุกขึ้นมาพึ่งพาตนเอง รู้จักหาความรู้ในการบริหารจัดการน้ำ ลงมือทำจนสำเร็จได้ เป็นการสร้างหนทางรอดภัยแล้งได้ด้วยตนเอง” ดร.สุเมธ กล่าว
นางวีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการ Enterprise Brand Management Office เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจี ได้น้อมนำแนวพระราชดำริการบริหารจัดการน้ำ ด้วยการสร้างฝายชะลอน้ำ ในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมรอบโรงงานปูนลำปาง ตั้งแต่ปี 2550 เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าและคืนสมดุลสู่ระบบนิเวศ พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมชักชวนชุมชนร่วมสร้างฝายชะลอน้ำ ทั้งได้ร่วมมือกับมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ส่งเสริมชุมชนเรียนรู้การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนตลอดระยะเวลา 13 ปี ที่เอสซีจีและเครือข่ายได้ทำงานด้านการจัดการน้ำร่วมกัน ก่อเกิดผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม ฝายชะลอน้ำที่ได้สร้างไปแล้วซึ่งจะครบ 100,000 ฝาย ในปลายปีนี้ ได้เปลี่ยนแปลงป่าที่แห้งแล้ง ให้เป็นป่าเขียวขจี มีความอุดมสมบูรณ์ และมีปริมาณน้ำมากพอสำหรับทำเกษตร มีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น ชุมชนมีความเข้มแข็ง ร่วมกันดูแลชุมชนให้ยั่งยืนพัฒนาต่อยอดเป็นการสร้างรายได้ต่างๆ อาทิ โฮมสเตย์ วิสาหกิจชุมชน รวมถึงการขายออนไลน์ ชาวบ้านจึงไม่ต้องทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดไปทำงานในเมือง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม จากปัญหาภัยแล้งที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เอสซีจีจึงได้สานต่อแนวทางดังกล่าวสู่โครงการ “เอสซีจีร้อยใจ 108 ชุมชน รอดภัยแล้ง” เพื่อส่งเสริมให้ 108 ชุมชนที่ประสบภัยแล้ง ลุกขึ้นมาร่วมมือกันแก้ภัยแล้งด้วยตัวเอง ด้วยการเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสำรวจและจัดทำแหล่งน้ำในพื้นที่ โดยมีชุมชนแกนนำของอุทกพัฒน์ฯ และเอสซีจีร่วมเป็นพี่เลี้ยง ภายในระยะเวลา 2 ปี ในงบประมาณ 30 ล้านบาท กว่า 3 เดือนที่ได้เริ่มดำเนินโครงการฯ ทีมงานได้เข้าไปส่งเสริม 56 ชุมชน ในจังหวัดที่ประสบภัยแล้ง ทำให้มีน้ำสำรองสามารถกระจายและแบ่งปันน้ำได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการอุปโภค-บริโภค ในช่วงหน้าแล้งนี้
“เมื่อนับรวมตั้งแต่ปีที่เอสซีจีได้เริ่มโครงการบริหารจัดการน้ำถึงปัจจุบัน มีชุมชนสามารถเอาชนะภัยเเล้งนำไปสู่การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนรวม 70 ชุมชน 16,200 ครัวเรือน ใน 28 จังหวัด มีปริมาณกักเก็บน้ำรวมถึง 26.4 ล้าน ลบ.ม. และมีพื้นที่เกษตรที่ได้รับประโยชน์รวม 45,300 ไร่ ปัจจัยความสำเร็จเกิดจากคนในชุมชนใช้หลัก “ความรู้คู่คุณธรรม” มีความรักและสามัคคี ลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาร่วมกัน และมีคุณธรรมแบ่งปันใช้น้ำอย่างเป็นธรรม รวมถึงการความรู้ผสานการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อแก้ภัยแล้ง ที่สำคัญคนในชุมชนยังเป็นพี่เลี้ยง เผื่อแผ่ แบ่งปันความรู้ และประสบการณ์การบริหารจัดการน้ำ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจไปยังชุมชนต่างๆ อย่างกว้างขวาง ” นางวีนัส กล่าว
นายอาสา สารสิน ประธานกรรมการมูลนิธิบัวหลวง กล่าวว่า มูลนิธิบัวหลวง และธนาคารกรุงเทพ เข้าร่วมโครงการนี้เป็นปีแรก โดยร่วมดำเนินโครงการ “บัวหลวงร่วมชุมชนแก้ภัยแล้ง” กับ 22 ชุมชน ใน 6 จังหวัด ภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดขอนแก่น จำนวน 9 ชุมชน จังหวัดเชียงราย 5 ชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ 2 ชุมชน จังหวัดแพร่ 3 ชุมชน จังหวัดสุโขทัย 2 ชุมชน และจังหวัดพิษณุโลก 1 ชุมชน ซึ่งโครงการส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ ด้วยการสร้างหรือปรับปรุงแหล่งกักเก็บน้ำของชุมชน โดยด้านหนึ่งมีการเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำต้นทุน และอีกด้านหนึ่งมีระบบการกระจายน้ำให้ชุมชน ด้วยกระบวนการจัดสรรน้ำที่เป็นธรรมแก่ทุกคนในชุมชน
“มูลนิธิบัวหลวงและธนาคารกรุงเทพ เชื่อมั่นว่า โครงการแก้ภัยแล้งของชุมชนทั้ง 22 ชุมชน ที่เราร่วมดำเนินการ ไม่เพียงจะช่วยแก้ปัญหาให้ชุมชนได้อย่างยั่งยืน หากยังจะเป็นต้นแบบที่ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้ชุมชนอื่น ๆ ได้เรียนรู้ ดำเนินรอยตาม และขยายผลออกไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ”
นายอาสากล่าว
ดร.ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ธนาคารกรุงเทพได้ร่วมสนับสนุนมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ มาตั้งแต่ปี 2550 ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของมูลนิธิฯ เพื่อแก้ปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วมในพื้นที่ทั่วประเทศมาตลอดทุกปี โครงการ “บัวหลวงร่วมชุมชนแก้ภัยแล้ง” นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาให้แก่ชุมชนที่ร่วมโครงการได้อย่างตรงจุด เป็นรูปธรรม และมีความยั่งยืนแล้ว ยังเป็นโอกาสดีที่ธนาคารจะได้ร่วมเรียนรู้ไปกับชุมชน ซึ่งจะทำให้ธนาคารเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของแต่ละชุมชน และให้การสนับสนุนได้อย่างเหมาะสม
“การได้ร่วมเรียนรู้ไปกับชุมชน จะทำให้เรามีประสบการณ์และฐานข้อมูลที่สามารถนำไปถ่ายทอดให้แก่ชุมชนอื่น ๆ ที่ประสบปัญหาอย่างเดียวกัน ซึ่งก็จะช่วยขยายผลโครงการนี้ให้กว้างขวางออกไปได้อีก”
ดร.ทวีลาภกล่าว
ข้อมูลโดย สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
เผยแพร่ข่าว : นางสาวพจนพร แสงสว่าง
ภาพ : นายจิรายุ รุจิพงษ์วาที
วีดีโอ : นายภูมินทร์ ปั้นเล็ก
ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทร. 02 333 3727 - 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-Mail : pr@mhesi.go.th Facebook : MHESIThailand
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.