วันที่ 21 สิงหาคม 2563 รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารและเดินเครื่องฉายรังสีอิเล็กตรอนของสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ นายสำราญ รอดเพชร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ และ ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ประธานกรรมการบริหาร สทน. ให้เกียรติเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ ณ ศูนย์ฉายรังสี เทคโนธานี จังหวัดปทุมธานี
รศ.นพ. สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ประเทศไทยได้ออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาหารฉายรังสีมาตั้งแต่ปี 2515 จนกระทั่งไทยได้เริ่มมีการเดินเครื่องฉายรังสีแกมมา และมีการจำหน่ายอาหารฉายรังสีแก่ผู้บริโภคตั้งแต่ปี 2528 ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ที่ศูนย์ฉายรังสีได้สร้างมาตรฐานของการฉายรังสีให้เป็นที่ยอมรับจากผู้ประกอบการในประเทศ และองค์กรต่างประกาศให้การยอมรับว่ามีมาตรฐานที่จะสามารถฉายรังสีให้กับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อส่งออกไปยังประเทศปลายทางโดยไม่เกิดปัญหาใด ๆ โดยในปี 2550 โรงงานฉายรังสีของ สทน. แห่งนี้ได้รับการรับจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา ให้เป็นโรงงานที่สามารถฉายรังสีผลไม้ไทย 6 ชนิด เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ ถือเป็นการช่วยเปิดตลาดผลไม้ไทยให้ส่งออกได้มากขึ้น และเมื่อ 4-5 ปีผ่านมา รัฐบาลออสเตรเลียก็ให้การรับรองศูนย์รังสีของ สทน. ให้สามารถฉายรังสีส่งออกไปจำหน่ายที่ออสเตรเลียได้ ซึ่งทำให้ประเทศไทยสามารถส่งออกผลไม้ไทยไปทั้ง 2 ประเทศได้อีกมากกว่า 100 ตันต่อปี ไทยได้เล็งเห็นประโยชน์จากการฉายรังสีของ สทน. จึงได้อนุมัติงบประมาณให้ สทน. เพื่อสร้างอาคารและเครื่องฉายรังสีอิเล็กตรอนเพิ่มเติม เพื่อสามารถให้บริการแก่เกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้ต้องการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการฉายรังสีที่นับวันจะมีมากขึ้น ซึ่งแนวทางนี้ก็สอดคล้องกับนโยบายด้าน BCG คือ การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร อีกทั้งเทคโนโลยีฉายรังสีด้วยอิเล็กตรอน (Electron beam) และรังสีเอ็กซ์ (x-ray) ถือเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้การฉายรังสีผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากขึ้น
รศ.ดร. ธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทน.)เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สทน. มีเครื่องฉายรังสีที่ให้บริการฉายรังสีแกมมาในเชิงพาณิชย์แก่ผลผลิตทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป โดยใช้โคบอลต์-60 เป็นต้นกำเนิดรังสี ซึ่งมีความจำเป็นต้องสั่งซื้อเพิ่มเติมทุก ๆ 5 ปี เพื่อรักษาประสิทธิภาพการให้บริการฉายรังสี แต่ต้นกำเนิดรังสีโคบอลต์-60 จะมีราคาสูงขึ้นทุกปี อีกทั้งเครื่องฉายรังสีที่ใช้อยู่เป็นเครื่องเก่าที่มีอายุการใช้งานมากว่า 30 ปี จึงทำให้มีต้นทุนการให้บริการฉายรังสีที่สูงขึ้น และที่สำคัญประสิทธิภาพในการให้บริการฉายรังสีผลไม้ สามารถฉายรังสีได้เต็มที่วันละ 60 ตัน ในขณะที่ความต้องการฉายรังสีผลไม้ของไทยเพื่อส่งออกไปยังตลาดในสหรัฐอเมริกามีความต้องการฉายรังสีเฉลี่ยวันละ 90 ตัน ดังนั้น ศูนย์ฉายรังสี สทน. จำเป็นต้องจัดหาเครื่องฉายรังสีเพิ่มเติมเพื่อรองรับการให้บริการในอนาคต จึงได้ริเริ่ม “โครงการเพิ่มศักยภาพการฉายรังสีผลิตผลการเกษตรเพื่อการส่งออกด้วยเครื่องเร่งอนุภาค” โดย สทน. ได้รับงบประมาณ 605,300,000 บาท สำหรับจัดหาเครื่องฉายรังสีอิเล็กตรอนพร้อมอาคารขนาดของโรงงานฉายรังสีอิเล็กตรอนมีพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นโรงงานฉายรังสีที่ผลิตรังสีจากพลังงานไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้ทั้งลำอิเล็กตรอน (Electron beam) และรังสีเอ็กซ์ (x-ray) ซึ่งจะให้พลังงานอิเล็กตรอนไม่เกิน 10 ล้านอิเล็กตรอนโวลต์ ให้รังสีเอ็กซ์พลังงาน 5 ล้านอิเล็กตรอนโวลต์ เพื่อเพิ่มศักยภาพการฉายรังสีสินค้าทางการเกษตรให้ได้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดต่างประเทศและในประเทศ และได้มาตรฐานเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างประเทศเรื่องการนำเข้าผลิตผลการเกษตรฉายรังสี สำหรับประสิทธิภาพของเครื่องฉายรังสี สามารถให้บริการฉายรังสีได้ทั้งเครื่องมือแพทย์ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผลไม้สด ได้ในปริมาณที่มากขึ้นในระยะเวลาที่รวดเร็วขึ้น
จากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องอาหารฉายรังสี ซึ่งได้กำหนดชนิดของรังสีในการฉายรังสีอาหารจำนวน 3 ชนิดคือ 1. รังสีแกมมา 2. รังสีเอกซ์ ระดับพลังงานต่ำกว่าหรือเท่ากับ 5 ล้านอิเล็กตรอนโวลต์ 3. รังสีอิเล็กตรอนจากเครื่อง เร่งอนุภาคอิเล็กตรอนด้วยระดับพลังงานต่ำกว่าหรือเท่ากับ 10 ล้านอิเล็กตรอนโวลต์ สทน.จึงได้ริเริ่ม “โครงการเพิ่มศักยภาพการฉายรังสีผลิตผลการเกษตรเพื่อการส่งออกด้วยเครื่องเร่งอนุภาค” โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่มีการดำเนินการในประเทศไทยมาก่อน และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของการส่งออกอาหารฉายรังสีกับประเทศคู่ค้าของไทยอย่างเคร่งครัด จากการประเมินจากมิติต่าง ๆของการให้บริการ โครงการเพิ่มศักยภาพการฉายรังสีผลิตผลการเกษตรเพื่อการส่งออก จึงเลือกเทคนิคการฉายรังสีด้วยเครื่องเร่งอนุภาคฯ เนื่องจากเทคโนโลยีการฉายรังสีด้วยเครื่องเร่งอนุภาคฯ สามารถเลือกใช้รังสีเอกซ์หรือรังสีอิเล็กตรอนฉายรังสีผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ การที่จะเลือกรังสีชนิดใดใน 2 ชนิดจากรังสีดังกล่าวขึ้นกับความหนาแน่นและรูปแบบของผลิตภัณฑ์ รวมถึงผลโดยตรงต่อเป้าหมายซึ่งวิธีการนี้จะให้ค่าปริมาณรังสีที่ถูกต้องแม่นยำ และการรับปริมาณรังสีไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์ของการฉายตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
สำหรับผลที่ได้จากโครงการ นอกจากจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการฉายรังสีสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออกแล้ว ยังช่วยลดปริมาณการสั่งซื้อต้นกำเนิดรังสีโคบอลต์-60 ในโรงฉายรังสีแกมมาซึ่งมีราคาสูงขึ้นทุกปี ทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการรายย่อยที่ดำเนินกิจการค้าขายอาหารและผลิตภัณฑ์ฉายรังสี รวมทั้งสมุนไพรรักษาโรคพื้นบ้าน ผู้ประกอบการส่งออกผลไม้ฉายรังสี โรงงานฉายรังสีแห่งใหม่นี้จะเป็นโรงงานต้นแบบและถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคเอกชนทั้งในระดับอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการรายย่อย ขณะนี้อยู่ในช่วงทดลองการเดินเครื่อง คาดว่าจะเริ่มให้บริการฉายรังสีในเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2564 นี้ เมื่อเดินเครื่องฉายรังสีอิเล็กตรอนอย่างเต็มกำลังแล้ว จะสามารถฉายรังสีผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในระดับพลังงานต่ำสุดได้สูงสุด 230 ตัน/ชั่วโมง และศูนย์ฉายรังสีของ สทน.จะสามารถฉายรังสีได้ครบทุกประเภทรังสีที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทยและคาดว่าจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับประเทศปีละมากกว่า 5,000 ล้านบาท
ข้อมูลโดย สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทน.)
ข่าวและภาพ : นางสาวพจนพร แสงสว่าง
ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทร. 02 333 3727 - 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-Mail: pr@mhesi.go.th facebook: MHESIThailand
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ฝ่ายสื่อสารองค์การ สทน. โทร. 02 401 9889 ต่อ 5913
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.