หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง อว.ร่วมปิดโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 40 ย้ำ“เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน”

เมื่อวันที่ 1 พ.ค.พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี และประธานคณะกรรมการอำนวยการโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” เป็นประธานในพิธีปิดโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 40 พร้อมด้วยนายอารีย์ วงศ์อารยะ รองประธานคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ ดร.กมล รอดคล้าย กรรมการและเลขานุการคณะอำนวยการโครงการฯ น.ส.สุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผอ.องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) หรือ NSM ณ ห้องแสงเดือน-แสงเทียน พิพิธภัณฑ์พระรามเก้า อพวช. คลองห้า จ.ปทุมธานี โดยมีเยาวชนจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 320 คนระหว่างวันที่ 4 เม.ย. – 2 พ.ค.2566

พลเอกสุรยุทธ์ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน มีเยาวชนที่ผ่านการเข้าร่วมโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” มาแล้ว 9,305 คน และมีครอบครัวอุปถัมภ์เข้าร่วมโครงการฯ รุ่นละ 160 ครอบครัว มาทำกิจกรรมและใช้ชีวิตร่วมกัน แม้อาจเป็นระยะเวลาไม่นานแต่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เยาวชนได้รับโอกาสและประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีคุณค่า ได้รู้จักเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน โดยสามารถนำมาต่อยอดและพัฒนาตนเอง พัฒนาชีวิตครอบครัว และพัฒนาสังคมในชุมชนให้มีคุณภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความสงบร่มเย็น ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือได้เรียนรู้เรื่องความเป็นไทยและความเป็นธรรม เยาวชนได้เรียนรู้วิถีชีวิต เรียนรู้ความเป็นไทยเพื่อช่วยกันสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองและขอให้ทุกคนทำหน้าที่เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ สมกับดังคำกล่าวที่พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษฝากไว้ให้เราคือ “เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน”

ด้าน ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผอ.องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (NSM) กล่าวว่า เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการสานใจไทย สู่ใจใต้ได้เรียนรู้อย่างสนุกสนานกับความมหัศจรรย์ของวิทยาศาสตร์และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ โดย NSM ได้จัดกิจกรรมให้เยาวชนในโครงการฯ ได้มีส่วนร่วมและทำกิจกรรมร่วมกันในพื้นที่พิพิธภัณฑ์ต่างๆ ของ NSM พร้อมส่งเสริมเยาวชนให้ได้พัฒนากระบวนการคิด แก้ปัญหาและสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยตนเองตามหลักการเรียนรู้แบบ STEM EDUCATION ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการสร้างบุคลากรที่เป็นอนาคตของชาติ นอกจากนั้น ยังเป็นการพัฒนาบุคลิกภาพ สร้างความมั่นใจทำให้เกิดความพร้อมที่จะอยู่ร่วมกัน ช่วยสร้างสรรค์และพัฒนาชาติได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนนำไปสู่ความสมานฉันท์ในสังคมต่อไป