(28 พ.ย. 2565 วว. เทคโนธานี) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมแถลงข่าวการค้นพบสัตว์ชนิดใหม่ของโลก ในพื้นที่สงวนชีวมณฑลสะแกราช จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ “มด แตนเบียน และโคพีพอด” พร้อมผนึกกำลังความร่วมมือระหว่าง วว./อพวช. ร่วมศึกษา วิจัย และถ่ายทอดความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม นิเวศวิทยาป่าเขตร้อน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพให้ยั่งยืน
ศ. (วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว. และ อพวช. เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. มีภารกิจและกิจกรรมในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีที่ วว. และ อพวช. ได้ร่วมดำเนินกิจกรรม แลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาบุคลากร ส่งเสริมการศึกษาวิจัย ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและนิเวศวิทยาป่าเขตร้อน เพื่อสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพให้ยั่งยืน ผ่านการจัดทำโครงการด้านศึกษา วิจัย การจัดแหล่งเรียนรู้ และการสื่อสารวิทยาศาสตร์ให้เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
“...วว. มีศักยภาพ ความพร้อม ด้านบุคลากร องค์ความรู้ เทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนผลงานและประสบการณ์ในการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม อีกทั้งยังมีหน่วยงานภายใต้กำกับในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ได้แก่ สถานีวิจัยลำตะคอง สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช ซึ่งมีผลงานศึกษาวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและนิเวศวิทยาป่าเขตร้อน รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การค้นพบสัตว์ชนิดใหม่ของโลกจำนวน 3 ชนิด คือ มด แตนเบียนและโคพีพอด ในพื้นที่สงวนชีวมณฑลสะแกราช เป็นข้อบ่งชี้ถึงความหลากหลายทางชีวภาพและความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ ซึ่ง วว. โดย สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช เป็นหน่วยงานดูแล ตั้งอยู่ในเขตอำเภอปักธงชัยและอำเภอวังน้ำเขียว มีพื้นที่ 78.08 ตารางกิโลเมตร (48,800 ไร่) ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑล (Biosphere reserve) ภายใต้โครงการ Man and Biosphere program (MAB) ขององค์การ UNESCO เมื่อปี พ.ศ. 2519 นับเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลแห่งแรกของประเทศไทย โดย วว. มีนโยบายและแนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ประโยชน์ของพื้นที่ในการเป็นห้องปฏิบัติการศึกษาวิจัยทางด้านธรรมชาติของป่าไม้ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้แก่ชุมชนในการพึ่งพาอาศัยได้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างคนและธรรมชาติ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตตามธรรมชาติของคนในท้องถิ่น...” ผู้ว่าการ วว. กล่าว
นายสุวรงค์ วงษ์ศิริ รองผู้อำนวยการ อพวช. กล่าวว่า “อพวช. มีภารกิจในการส่งเสริมสังคมไทยให้เห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์ที่มีต่อการพัฒนาประเทศ พร้อมปลูกฝังและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เยาวชน และประชาชนในสังคมให้มีทัศนคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยการจัดแสดงนิทรรศการ และกิจกรรมด้านวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ผ่านแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้สนุกกับการค้นพบ และการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยความมหัศจรรย์ของวิทยาศาสตร์ แต่อีกหนึ่งภารกิจสำคัญคือการเป็นศูนย์กลางของการศึกษาวิจัย รวบรวมวัสดุอุเทศ เผยแพร่ความรู้และจัดแสดงนิทรรศการด้านธรรมชาติวิทยาและความหลากหลายทางชีวภาพเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ โดยมีนักวิชาการด้านธรรมชาติวิทยาที่มีความเชี่ยวชาญ ในการศึกษาวิจัยถึงความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศและของโลก พร้อมเก็บตัวอย่างมาสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ และเผยแพร่องค์ความรู้ไปสู่สังคมพร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจงานทางด้านอนุกรมวิธานมากยิ่งขึ้น
สำหรับการลงนามความเข้าใจระหว่าง อพวช. และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อร่วมกันศึกษา วิจัย พร้อมพัฒนา ถ่ายทอด และแบ่งปันประสบการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและนิเวศวิทยาป่าเขตร้อน และด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกันอันจะก่อให้เกิดการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ให้กับประเทศต่อไปตามภารกิจหลักของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เยาวชนและประชาชนของประเทศในอนาคตต่อไป” รองผู้อำนวยการ อพวช. กล่าว
ดร.สุรชิต แวงโสธรณ์ ผู้อำนวยการสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช วว. กล่าวว่า ปัจจุบันมี นักเรียน นิสิต นักศึกษา เข้ามาเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีนักวิจัยและอาสาสมัครวิจัยจากภายในประเทศและต่างประเทศเข้ามาวิจัยในพื้นที่สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราชไม่น้อยกว่า 980 ราย จาก 37 ประเทศ ก่อให้เกิดผลงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมทุกๆ ด้าน มีผลงานวิจัยได้รับการตีพิมพ์ไม่น้อยกว่า 832 เรื่อง โดยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ 439 เรื่อง วิทยานิพนธ์และรายงานการวิจัย 339 เรื่อง และการนำเสนอผลงานในงานประชุมวิชาการ 54 เรื่อง นอกจากนี้ สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราชยังมีศักยภาพในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดปีละ 146,094 ตัน ประกอบด้วย 1) ป่าดิบแล้ง พื้นที่ 26,474 ไร่ ดูดซับได้ 3.26 ตันต่อไร่ต่อปี หรือปีละ 86,305 ตัน 2) ป่าเต็งรัง พื้นที่ 7,373 ไร่ ดูดซับ 2.84 ตันต่อไร่ต่อปี หรือปีละ 20,939 ตัน และ 3) ป่าปลูก พื้นที่ 12,028 ไร่ ดูดซับได้ 3.23 ตันต่อไร่ต่อปี หรือปีละ 38,850 ตัน
ดร.วียะวัฒน์ ใจตรง นักวิจัย จาก อพวช. และ ผศ.ดร.นพรัตน์ พุทธกาล คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวถึงการร่วมค้นพบมดชนิดใหม่ของโลกว่า ค้นพบบริเวณยอดไม้สูงประมาณ 25-30 เมตร ในป่าดิบแล้งที่ค่อนข้างสมบูรณ์ในพื้นที่สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช ดำเนินงานภายใต้โครงการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพของมดบนเรือนยอดไม้บริเวณสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช จังหวัดนครราชสีมา ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่ วว. และท่านผู้ว่าการ วว. ในฐานะเป็นหน่วยงานดูแลพื้นที่และสนับสนุนงานวิจัยทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพอย่างแข็งขัน จึงได้ตั้งชื่อมดชนิดใหม่ว่า “มดชุติมา” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lepisiota chutimae Jaitrong, Waengsothorn et Buddhakala, 2022 ลักษณะเด่น มีสีเหลืองทองตลอดทั้งตัว (ท้องมีสีเข้มกว่าอกเล็กน้อย) ผิวตัวเรียบเป็นเงามัน ท้ายส่วนอกและเอวมีหนามแหลม มดชนิดนี้เป็นดัชนีบ่งชี้ความสมบูรณ์ของป่าดิบแล้งสะแกราชได้อีกทางหนึ่ง ในประเทศไทยมีมดในสกุล Lepisiota จำนวน 8 ชนิด อาศัยอยู่บนดิน ยกเว้นเพียง “มดชุติมา” เท่านั้นที่ปรับตัวขึ้นไปอาศัยอยู่บนต้นไม้ เหตุผลในการปรับตัวที่แปลกไปจากมดชนิดอื่นในสกุลเดียวกันนักวิจัยอยู่ระหว่างค้นหาคำตอบ อย่างไรก็ตามขณะนี้เกิดปรากฏการณ์ลานีญา (ฝนตกชุก) ติดต่อกัน 2 ปี ทำให้โครงสร้างประชากรมดเรือนยอดเปลี่ยนแปลงไป มีมดรุกรานยึดครองพุ่มไม้มากขึ้น ในอนาคตอันใกล้อาจส่งผลกระทบต่อการลดลงของประชากรมดชุติมาและมดถิ่นเดิมชนิดอื่นๆ ได้ หากไม่มีมาตรการป้องกันหรือการจัดการที่เหมาะสม งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารระดับนานาชาติ Far Eastern Entomologist
รศ.ดร.บัณฑิกา อารีย์กุล บุทเชอร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการค้นพบแตนเบียนชนิดใหม่ของโลกว่า ค้นพบบริเวณป่าดิบแล้งของสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช ในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ.2564 ด้วยกับดักเต็นท์ หรือ Malaise Trap มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Physaraia sakaeratensis Chansri, Quicke & Butcher, 2022 มีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากแตนเบียนสกุล Physaraia ชนิดอื่นคือ หนามคู่ที่ส่วนท้องของลำตัวมีสีดำ ในขณะที่ชนิดอื่นหนามบริเวณนี้จะเป็นสีเดียวกับลำตัว โดยบริเวณปลายของส่วนท้องที่มีหนามคาดว่าจะช่วยในการวางไข่ของแดนเบียนเพศเมีย ทั้งนี้แตนเบียนเป็นแมลงในอันดับ Hymenoptera เช่นเดียวกันกับ ผึ้ง ต่อ และแตนชนิดอื่นๆ อวัยวะวางไข่ของแตนเบียนเพศเมียไม่ได้มีไว้สำหรับต่อย แต่มีไว้ใช้วางไข่ในแมลงให้อาศัย (host) เมื่อแตนเบียนเพศเมียวางไข่แล้ว ตัวหนอนของแตนเบียนจะกัดกินแมลงให้อาศัยเป็นอาหาร ก่อนจะเจริญเป็นดักแด้และแตนเบียนตัวเต็มวัยต่อไป ด้วยความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันระหว่างแตนเบียนและแมลงให้อาศัย ทำให้แตนเบียนหลายชนิดถูกนำไปประยุกต์ใช้ในการควบคุมประชากรของแมลงศัตรูพืชโดยชีววิธี (biological control) โดยในพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ธรรมชาติ แตนเบียนนับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสำคัญต่อสมดุลของประชากรแมลงในระบบนิเวศ งานวิจัยนี้ตีพิมพ์เผยแพรในวารสารวิชาการ Zootaxa เรื่อง Four new species of Physaraia (Hymenoptera: Braconidae: Braconinae) from Thailand
ผศ.ดร.ชายฉัตร บุญญานุสิทธิ์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา กล่าวถึงการค้นพบโคพีพอด (Copepods) ชนิดใหม่ของโลกว่า ได้รับการสนับสนุนจากสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราชและศูนย์ความเป็นเลิศด้านความหลากหลายทางชีวภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในโครงการศึกษาความหลากหลายของแพลงก์ตอนสัตว์ ค้นพบบริเวณถ้ำงูจงอาง สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช เป็นพื้นลำธารที่เป็นลานหิน มีแอ่งน้ำนิ่งสลับกับน้ำไหล มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Metacyclops sakaeratensis Athibai,Wongkamhaeng & Boonyanusith, 2022 มีลักษณะเด่นดังนี้ 1. ปลายของขาว่ายน้ำคู่ที่ 4 มี spine 1 อัน 2. ด้านข้างของ caudal ramus มีหนาม และ 3. ปล้องสืบพันธุ์มีร่องตามขวางทางด้านหลัง ทั้งนี้ ชนิดใหม่ของโลกจากสะแกราช มีลักษณะคล้ายกับเครือญาติจากกัมพูชา แต่ชนิดจากกัมพูชาไม่มีลักษณะในข้อ 3. คือร่องตามขวางทางด้านหลังของปล้องสืบพันธุ์ ทั้งนี้ โคพีพอดเป็นหนึ่งในแพลงก์ตอนสัตว์ ที่มีความสำคัญในระบบนิเวศแหล่งน้ำ มีความหลากหลายของสายพันธุ์สูง มีลักษณะคล้ายคลึงและอยู่ในตระกูลเดียวกับ กุ้ง ไรน้ำ สามารถพบโคพีพอดในแหล่งน้ำทั่วไปของประเทศไทย ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม พบได้ทั้งในฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน โคพีพอดถูกนำมาใช้ประโยชน์หลายด้าน เช่น การประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ ปลาทะเล กุ้งสวยงาม นอกจากนี้ยังมีความสำคัญในห่วงโซ่อาหาร โดยเป็นอาหารของสัตว์น้ำวัยอ่อน ทั้งลูกกุ้ง ลูกปลา เป็นตัวบ่งชี้ถึงความหลากหลายทางชีวภาพ ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศตามธรรมชาติของแหล่งน้ำ งานวิจัยนี้ตีพิมพ์เผยแพร่ใน Athibal, S., Wongkamhaeng, K. and Boonyanusith, C (2022).Two new species of Metacyclops Kiefer, 1927 (Copepoda, Cyclopoida) from Thailand and an up-to-date key to the species recorded in Asia. European Journal of Taxonomy. 787 : 146–181.
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.