ดาวเทียมตรวจจับฝุ่น PM2.5 ได้อย่างไร
ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ยังคงเป็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่สำคัญในหลายเมืองทั่วโลก รวมถึงกรุงเทพมหานครซึ่งต้องเผชิญกับค่าฝุ่นที่สูงเกินมาตรฐานในหลายช่วงของปี 2568 ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุว่า ช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2568 ค่าฝุ่น PM2.5 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเฉลี่ยอยู่ที่ 52 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (µg/m³) ซึ่งเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 37 µg/m³ และบางพื้นที่มีค่าสูงถึง 85 µg/m³ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจำนวนมาก
เพื่อจัดการปัญหานี้ การตรวจจับและติดตามฝุ่น PM2.5 ด้วยเทคโนโลยีดาวเทียมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ดาวเทียมสามารถตรวจจับฝุ่นละอองขนาดเล็กในชั้นบรรยากาศครอบคลุมพื้นที่กว้างในเวลาเดียวกัน ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลจากเซนเซอร์ที่ติดตั้งบนดาวเทียม โดยอาศัยเทคนิคการตรวจวัดความหนาแน่นของละอองลอย (Aerosol Optical Depth - AOD) ซึ่งคำนวณจากการดูดซับและการกระเจิงของแสงเมื่อผ่านชั้นบรรยากาศ เซนเซอร์ที่นิยมใช้ ได้แก่ MODIS (Moderate Resolution Imaging Spectroradiometer) บนดาวเทียม Terra และ Aqua ของ NASA และ TROPOMI (Tropospheric Monitoring Instrument) บนดาวเทียม Sentinel-5P ของยุโรป เป็นต้น
นอกจากนี้ เทคโนโลยี LIDAR (Light Detection and Ranging) ซึ่งเป็นการยิงแสงเลเซอร์จากดาวเทียมลงไปยังพื้นโลกเพื่อวัดระดับความเข้มของฝุ่นในแต่ละชั้นบรรยากาศ กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในงานตรวจจับ PM 2.5 เทคนิคนี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการประเมินความเข้มข้นของฝุ่นได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีชั้นบรรยากาศหลายระดับ
ข้อมูลจากดาวเทียมช่วยสร้างแผนที่การกระจายตัวของฝุ่น PM 2.5 แบบเรียลไทม์ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือแม้แต่ประชาชนคนไทยสามารถติดตามสถานการณ์มลพิษได้อย่างใกล้ชิดในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ผ่านแอพลิเคชั่น เช็คฝุ่น โดยที่ค่าฝุ่น PM 2.5 ที่สูงเกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรถือว่าเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ และหากเกิน 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรจะมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม แม้ข้อมูลจากดาวเทียมจะให้ภาพรวมที่ครอบคลุมในระดับภูมิภาค แต่ยังมีข้อจำกัดในบางสถานการณ์ เช่น การตรวจจับในช่วงที่มีเมฆปกคลุมหนาแน่น หรือการวัดค่าฝุ่นในเวลากลางคืน ซึ่งทำให้ต้องใช้ข้อมูลจากสถานีตรวจวัดภาคพื้นดินเสริมเพื่อเพิ่มความแม่นยำ ข้อมูลจากสถานีเหล่านี้ช่วยในการปรับเทียบ (Calibration) ค่าจากดาวเทียมให้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงมากขึ้น
อีกหนึ่งเทคนิคที่มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ฝุ่น PM2.5 คือการใช้ Machine Learning และ AI เข้ามาช่วยประมวลผลข้อมูลดาวเทียมและข้อมูลจากสถานีภาคพื้นดิน เพื่อสร้างแบบจำลองการพยากรณ์ฝุ่นได้ล่วงหน้า ทำให้สามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของคุณภาพอากาศในระยะสั้นและระยะยาวได้อย่างแม่นยำ
ดังนั้น การใช้ดาวเทียมร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่และการประมวลผลข้อมูลเชิงลึกจึงเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยหากมีการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ควบคู่กับมาตรการป้องกันมลพิษจากภาคส่วนต่าง ๆ จะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและยกระดับคุณภาพอากาศให้ดีขึ้นในระยะยาว
ที่มา : สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.)
https://www.facebook.com/gistda
เผยแพร่โดย : นางสาวสุวดี เหมือนอ้น
กลุ่มสื่อสารองค์กร (สอ.)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3880
E-mail : pr@mhesi.go.th
Facebook : @MHESIThailand
Instagram : mhesi_thailand
Tiktok : mhesi_thailand
Twitter : @MHESIThailand
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.