ดร.เอนก ย้ำ ประวัติศาสตร์ไทย เป็นของคนไทย ศึกษา รักษา เพื่อลูกหลานไทย

ดร.เอนก ย้ำ ประวัติศาสตร์ไทย เป็นของคนไทย ศึกษา รักษา เพื่อลูกหลานไทย
พร้อมจัดตั้งศูนย์เพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ 5 แห่ง ในอนาคต

3 ธันวาคม 2563 : ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เข้าร่วมการสัมมนาพร้อมมอบแนวคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย ในการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “สังคมและวัฒนธรรมไทโบราณ” ณ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิและเชี่ยวชาญทางด้านประวัติศาสตร์ไทย ภายในงานดังกล่าวมีการบรรยายบทความที่น่าสนใจ อาทิ ความเป็นมาของชนชาติไทยและชนชาติข้างเขียง การศึกษาเบื้องต้นจากพันธุศาสตร์และภาษาศาสตร์ ภาษาและฉันทลักษณ์จ้วงโบราณ ความเชื่อโบราณของชนชาติไท เป็นต้น

          รมว.อว. กล่าวตอนหนึ่งว่า “ประวัติศาสตร์ของไทยควรแก่การค้นคว้าและศึกษาอย่างจริงจัง เพราะเป็นประวัติศาสตร์ที่ย้อนลึกอย่างมากตั้งแต่สมัยโบราณกาล ทั้งในด้านชาติพันธ์ ด้านภาษา ด้านวิถีชีวิต ด้านวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ ทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่าควรแก่การพิสูจน์ ศึกษาและหาหลักฐานเพื่อประกอบกับตำนานหรือเรื่องเล่า ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม อารยธรรมของคนไทย และควรมีสถานที่เก็บรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์อย่างจริงจังและเป็นสัดส่วน อว. พร้อมจัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดตั้งต่อไปในอนาคต”

โดยมีแนวคิดที่จะจัดตั้งศูนย์เพื่อใช้เป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ จำนวน 5 แห่ง คือ

1. พิพิธพันธุ์ศิลปกรรมแห่งชาติ จะผลักดันและส่งเสริมโดยให้กรมศิลปากรได้ออกแบบและจัดสร้างให้เป็นศิลปะอย่างเป็นรูปธรรม
2. ศูนย์เศรษฐกิจแบบพอเพียง จะเป็นแห่งรวบรวมศาสตร์พื้นฐานของไทยในแขนงต่างๆ เกี่ยวกับการดำรงชีวิต เรียนรู้ลักษณะความพอเพียงผสมผสานจากทั้งไทยและต่างประเทศ
3. ศูนย์ช่างศิลป์ท้องถิ่น เพราะศิลปะมิใช่มีเพียงแค่ส่วนกลางหรือระดับชาติ แต่ในประเทสไทยยังมีศาสตร์แห่งภูมิภาคและท้องถิ่น โลกปัจจุบันกำลังจะทำให้ศาสตร์แขนงนี้ค่อยๆ หมดไป ควรขยายและพัฒนาอย่างเป็นวงกว้าง
4. ศูนย์วิเทศกิจโลกคดีศึกษา จะเป็นศูนย์รวมที่ดูแลเรื่องความเป็นอยู่วัฒนธรรมของประเทศในโลกปัจจุบัน ให้คนไทยเข้าใจและเรียนรู้พร้อมปรับเปลี่ยนตนเองมากขึ้น
5. ศูนย์สุวรรณภูมิศึกษา ศูนย์รวมแห่งประวัติศาสตร์ไทยแบบย้อนลึก ทำการศึกษา ค้นคว้า พื้นที่ของอารยธรรมไทยว่าต้นกำเนิดเป็นมาอย่างไร

          “ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ไทย จะเป็นขุมทรัพย์ทางความรู้ให้คนรุ่นหลังอีกยาวนาน นักวิชาการ หรือผู้สนใจค้นคว้า ต้องคิดการใหญ่และตั้งใจทำให้ได้ เสริมสร้างแรงบันดาลใจและพลังให้ตนเองอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นสิ่งที่ทำเพื่อสังคมและมีความยากลำบากและความ้ทาทาย ต้องลืมเรื่องปัจจัยทางทุนทรัพย์ที่มีจำกัด จะส่งผลให้งานที่เกิดขึ้นจะไม่มีกรอบใดๆ มาปิดกั้น การค้นคว้า พิสูจน์ แบบจริงจังจะทำให้ผลลัพธ์ที่ตามมามีคุณค่าควรแก่การรักษาอย่างที่สุด” รมว. อว. กล่าวในตอนท้าย